โคมไฟฉุกเฉินติดตั้งอย่างไร มีกี่แบบ เลือกให้งาน อย่างไร เหมาะ สถานที่ใด พิจารณาการเลือกสินค้าอย่างไร

สวัสดีครับ เข้าใจเลยว่าคุณกำลังวางแผนติดตั้งโคมไฟฉุกเฉินและต้องการข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับการติดตั้ง ประเภท การเลือกใช้งาน สถานที่ที่เหมาะสม และการพิจารณาเลือกซื้อสินค้า ผมยินดีให้ข้อมูลโดยละเอียดดังนี้ครับ:

วิธีการติดตั้งโคมไฟฉุกเฉิน:

โดยทั่วไป การติดตั้งโคมไฟฉุกเฉินสามารถทำได้ 2 วิธีหลักๆ คือ:

1. การติดตั้งแบบติดผนัง (Wall Mounted):

   • เลือกตำแหน่งที่ต้องการติดตั้ง โดยควรเป็นบริเวณที่มองเห็นได้ง่ายและให้แสงสว่างครอบคลุมพื้นที่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ทางเดิน บันได หรือทางออก
   • เจาะรูที่ผนังตามตำแหน่งรูยึดของโคมไฟ
   • ใส่พุกพลาสติก (ถ้าผนังเป็นปูน)
   • ยึดแผ่นเพลตสำหรับติดตั้ง (mounting plate) เข้ากับผนังด้วยสกรู
   • เชื่อมต่อสายไฟของโคมไฟฉุกเฉินเข้ากับระบบไฟฟ้าของอาคาร โดยทั่วไปจะมีสายไฟ 3 เส้น คือ สายไฟหลัก (Line), สายนิวทรัล (Neutral) และสายดิน (Ground) (ควรดำเนินการโดยช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญ)
   • แขวนหรือยึดตัวโคมไฟเข้ากับแผ่นเพลตให้แน่นหนา
   • ทดสอบการทำงานของโคมไฟฉุกเฉิน โดยการตัดไฟหลักของอาคาร เพื่อตรวจสอบว่าแบตเตอรี่สำรองสามารถจ่ายไฟให้โคมไฟสว่างได้ตามปกติ

2. การติดตั้งแบบแขวน (Ceiling Mounted):

   • เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีเพดานสูง หรือต้องการให้แสงสว่างกระจายในวงกว้าง
   • เลือกตำแหน่งติดตั้งที่เหมาะสมบนเพดาน
   • ติดตั้งชุดแขวน (เช่น โซ่ หรือท่อ) เข้ากับเพดานให้มั่นคง
   • เชื่อมต่อสายไฟของโคมไฟฉุกเฉินเข้ากับระบบไฟฟ้าของอาคาร (ควรดำเนินการโดยช่างไฟฟ้าผู้ชำนาญ)
   • แขวนตัวโคมไฟเข้ากับชุดแขวน
   • ทดสอบการทำงานเช่นเดียวกับการติดตั้งแบบติดผนัง

โคมไฟฉุกเฉินมีกี่แบบ:

สามารถแบ่งประเภทของโคมไฟฉุกเฉินได้หลายเกณฑ์ ดังนี้:

1. ตามแหล่งจ่ายพลังงานสำรอง:

   • แบบใช้แบตเตอรี่ในตัว (Self-Contained): เป็นประเภทที่นิยมใช้มากที่สุด มีแบตเตอรี่สำรองอยู่ภายในตัวโคมไฟ เมื่อไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะจ่ายไฟให้หลอดไฟสว่างโดยอัตโนมัติ ติดตั้งง่ายและดูแลรักษาสะดวก
   • แบบใช้แบตเตอรี่ส่วนกลาง (Central Battery System): เหมาะสำหรับอาคารขนาดใหญ่ มีชุดแบตเตอรี่สำรองส่วนกลางจ่ายไฟให้กับโคมไฟฉุกเฉินหลายจุด มีข้อดีคือดูแลรักษาง่าย และมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่า แต่มีค่าติดตั้งที่สูงกว่า

2. ตามลักษณะการให้แสงสว่าง:

   • แบบให้แสงสว่างทั่วไป (Illumination Type): ให้แสงสว่างในบริเวณกว้าง เพื่อให้มองเห็นทางเดินและสิ่งกีดขวาง
   • แบบป้ายทางออกฉุกเฉิน (Exit Sign Type): มีสัญลักษณ์ "ทางออก" หรือลูกศรชี้ทิศทาง เพื่อนำทางไปยังทางออกที่ปลอดภัย มักมีแสงสว่างในตัว

3. ตามเทคโนโลยีหลอดไฟ:

   • แบบใช้หลอดไส้ (Incandescent): ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว เนื่องจากกินไฟมากและมีอายุการใช้งานสั้น
   • แบบใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent): ให้แสงสว่างดีกว่าหลอดไส้ แต่มีขนาดใหญ่กว่าและมีสารปรอท
   • แบบใช้หลอด LED (Light Emitting Diode): เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานยาวนาน ให้แสงสว่างสูง และมีขนาดเล็ก

วิธีการเลือกโคมไฟฉุกเฉินให้เหมาะสมกับการใช้งาน:

การเลือกโคมไฟฉุกเฉินควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

• ประเภทของอาคารและลักษณะการใช้งาน:
  • อาคารสำนักงาน โรงงาน โรงแรม: ควรมีทั้งโคมไฟให้แสงสว่างทั่วไปและป้ายทางออกฉุกเฉิน ติดตั้งในบริเวณทางเดิน บันได ห้องโถง และเหนือประตูทางออก
  • โรงพยาบาล: ต้องการความสว่างที่เพียงพอในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะห้องผ่าตัดและทางเดิน
  • บ้านพักอาศัย: อาจติดตั้งเฉพาะบริเวณทางเดินหลัก บันได หรือใกล้ประตูทางออก
• ขนาดและพื้นที่ของอาคาร: อาคารขนาดใหญ่หรือมีหลายชั้น อาจต้องใช้โคมไฟฉุกเฉินจำนวนมาก และควรพิจารณาระบบแบตเตอรี่ส่วนกลาง
• ความเข้มของแสงสว่างที่ต้องการ: พิจารณามาตรฐานความสว่างขั้นต่ำตามกฎหมายหรือข้อกำหนดของแต่ละประเภทอาคาร
• ระยะเวลาการส่องสว่างสำรอง: โดยทั่วไป โคมไฟฉุกเฉินควรสามารถส่องสว่างได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 1.5 - 3 ชั่วโมงหลังไฟฟ้าดับ
• มาตรฐานและความน่าเชื่อถือของสินค้า: เลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานรับรอง เช่น มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม)
• ความสะดวกในการติดตั้งและบำรุงรักษา: เลือกโคมไฟที่มีการออกแบบที่ติดตั้งง่าย และมีแบตเตอรี่ที่สามารถเปลี่ยนได้ง่าย
• งบประมาณ: พิจารณางบประมาณที่ตั้งไว้ และเปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติของสินค้าจากหลายแหล่ง

สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งโคมไฟฉุกเฉิน:

• ทางเดินและระเบียง: เพื่อให้มีแสงสว่างนำทางเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
• บันได: โดยเฉพาะบริเวณขั้นบันไดและชานพัก
• ทางออกและประตูฉุกเฉิน: ควรมีป้ายทางออกฉุกเฉินพร้อมแสงสว่างที่ชัดเจน
• ห้องโถงและพื้นที่ส่วนกลาง: เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นและเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย
• บริเวณที่มีความเสี่ยงสูง: เช่น ห้องเครื่องไฟฟ้า ห้องเก็บสารเคมี
• ภายนอกอาคาร: บริเวณทางหนีภัยภายนอกอาคาร

การพิจารณาการเลือกซื้อสินค้า:

• ตรวจสอบมาตรฐาน: มองหาสัญลักษณ์มาตรฐาน มอก. หรือมาตรฐานสากลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
• เลือกยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ: เลือกซื้อจากผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายที่มีชื่อเสียงและมีการรับประกันสินค้า
• อ่านสเปคสินค้าอย่างละเอียด: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทแบตเตอรี่ ระยะเวลาการส่องสว่าง ความสว่างของหลอดไฟ และคุณสมบัติอื่นๆ
• พิจารณาวัสดุและความทนทาน: เลือกวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน และไม่ติดไฟง่าย
• สอบถามการรับประกันและการบริการหลังการขาย: ตรวจสอบระยะเวลาการรับประกัน และมีบริการหลังการขายที่ดีหรือไม่
• เปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติ: เปรียบเทียบสินค้าจากหลายแหล่ง เพื่อให้ได้สินค้าที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการ

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณสามารถเลือกและติดตั้งโคมไฟฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยนะครับ หากมีคำถามเพิ่มเติม ถามได้เลยครับ ยินดีให้คำแนะนำครับ